วันพุธที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2554

ส่งงานค่ะ

นวัตกรรม
คำว่า นวัตกรรม หมายถึงการทำสิ่งต่างๆด้วยวิธีใหม่ๆ และยังอาจหมายถึงการเปลี่ยนแปลงทางความคิด การผลิต กระบวนการ หรือองค์กร ไม่ว่าการเปลี่ยนนั้นจะเกิดขึ้นจากการปฏิวัติ การเปลี่ยนอย่างถอนรากถอนโคน หรือการพัฒนาต่อยอด ทั้งนี้ มักมีการแยกแยะความแตกต่างอย่างชัดเจน ระหว่างการประดิษฐ์คิดค้น ความคิดริเริ่ม และนวัตกรรม อันหมายถึงความคิดริเริ่มที่นำมาประยุกต์ใช้อย่างสัมฤทธิ์ผล (Mckeown, 2008) และในหลายสาขา เชื่อกันว่าการที่สิ่งใดสิ่งหนึ่งจะเป็นนวัตกรรมได้นั้น จะต้องมีความแปลกใหม่อย่างเห็นได้ชัด และไม่เป็นแค่เพียงการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ เป็นต้นว่า ในด้านศิลปะ เศรษฐศาสตร์ เศรษฐกิจ และนโยบายของรัฐ ในเชิงเศรษฐศาสตร์นั้น การเปลี่ยนแปลงนั้นจะต้องเพิ่มมูลค่า มูลค่าของลูกค้า หรือมูลค่าของผู้ผลิต เป้าหมายของนวัตกรรมคือการเปลี่ยนแปลงในเชิงบวก เพื่อทำให้สิ่งต่างๆเกิดเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น นวัตกรรมก่อให้ได้ผลิตผลเพิ่มขึ้น และเป็นที่มาสำคัญของความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ
นวัตกรรมเป็นหัวข้อหลักในการศึกษาด้านเศรษฐศาสตร์ ธุรกิจ เทคโนโลยี สังคมศาสตร์ และวิศวกรรม และหากพูดกันแบบภาษาชาวบ้านแล้ว คำว่า 'นวัตกรรม' มักจะหมายถึงผลลัพธ์ของกระบวนการ และในฐานะที่นวัตกรรมมักจะได้รับการยกย่องว่าเป็นกลไกสำคัญในการผลักดันเศรษฐกิจ ปัจจัยที่นำไปสู่นวัตกรรม มักได้รับความสำคัญจากผู้ออกนโยบายว่าเป็นเรื่องวิกฤติ
ผู้มีหน้าที่รับผิดชอบโดยตรงในการนำนวัตกรรมมาประยุกต์ใช้ในสาขาใดสาขาหนึ่ง มักจะเรียกว่าเป็นผู้บุกเบิกในสาขานั้น ไม่ว่าจะเป็นในนามบุคคล หรือองค์กร
นวัตกรรมในองค์กร
ในบริบทขององค์กร เราอาจเชื่อมโยงนวัตกรรมเข้ากับสมรรถนะ และ การเติบโต ด้วยการพัฒนาประสิทธิภาพ ความสามารถในการผลิต คุณภาพ จุดยืนด้วยความสามารถในการแข่งขัน ส่วนแบ่งการตลาด ฯลฯ องค์กรทุกองค์กรสามารถสร้างนวัตกรรมได้ อาทิเช่น โรงพยาบาล มหาวิทยาลัย และรัฐบาลท้องถิ่น
นวัตกรรม
มีผู้ให้ความหมายไว้มากมาย ในยุคแรกๆ จะพูดถึงอะไรที่เป็นสิ่งใหม่ๆ เท่านั้น ต่อมา โรเจอร์ ได้เริ่มกล่าวถึง การแพร่กระจายของนวัตกรรมด้วย Diffusion of Innovation อย่างไรก็ดี คำจำกัดความที่ดูเหมือนจะครอบคลุมที่สุด คือ Invention + Commercialization หรือ ต้องมีการนำสิ่งประดิษฐ์ที่คิดว่าใหม่ ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ได้จริง ทั้งทางธุรกิจ หรือ ทางสังคม ทั้งนี้รูปแบบของนวัตกรรม ก็สามารถแบ่งออกเป็นได้ตามรูปแบบ (Product, Service, Process) หรือ อาจแบ่งตามระดับความใหม่ก็ได้ ซึ่งจะแบ่งออกเป็น 4 กลุ่มด้วยกัน ได้แก่ Incremental, Modular, Architectural และ Radical Innovation Teerapon.T (2008) กล่าวถึง Innovation หรือ นวัตกรรมว่า อาจหมายถึง สิ่งประดิษฐ์ หรือ สิ่งใหม่ ที่ต้องสร้างให้เกิด Value Creation คือ นำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ได้นั่นเอง

เทคโนโลยี
นาโนเทคโนโลยีเป็นที่สนใจในศตวรรษปัจจุบัน
เทคโนโลยี หรือ อาซฺโม่ประยุกตวิทยา ] หรือ เทคนิควิทยา มีความหมายค่อนข้างกว้าง โดยทั่วไปหมายถึง การนำความรู้ทางธรรมชาติวิทยาและต่อเนื่องมาถึงวิทยาศาสตร์ มาเป็นวิธีการปฏิบัติและประยุกต์ใช้เพื่อช่วยในการทำงานหรือแก้ปัญหาต่าง ๆ อันก่อให้เกิดวัสดุ อุปกรณ์ เครื่องมือ เครื่องจักร แม้กระทั่งองค์ความรู้นามธรรมเช่น ระบบหรือกระบวนการต่าง ๆ เพื่อให้การดำรงชีวิตของมนุษย์ง่ายและสะดวกยิ่งขึ้น
เทคโนโลยีก่อเกิดผลกระทบต่อสังคมและในพื้นที่ที่มีเทคโนโลยีเข้าไปเกี่ยวข้องในหลายรูปแบบ เทคโนโลยีได้ช่วยให้สังคมหลาย ๆ แห่งเกิดการพัฒนาทางเศรษฐกิจมากขึ้นซึ่งรวมทั้งเศรษฐกิจโลกในปัจจุบัน ในหลาย ๆ ขั้นตอนของการผลิตโดยใช้เทคโนโลยีได้ก่อให้ผลผลิตที่ไม่ต้องการ หรือเรียกว่ามลภาวะ เกิดการสูญเสียทรัพยากรธรรมชาติและเป็นการทำลายสิ่งแวดล้อม เทคโนโลยีหลาย ๆ อย่างที่ถูกนำมาใช้มีผลต่อค่านิยมและวัฒนธรรมของสังคม เมื่อมีเทคโนโลยีใหม่ ๆ เกิดขึ้นก็มักจะถูกตั้งคำถามทางจริยธรรม
ความหมาย
เมื่อกล่าวถึงเทคโนโลยี ผู้คนส่วนใหญ่อาจนึกถึงเครื่องมือเครื่องจักรเชิงกลหรืออิเล็กทรอนิกส์ที่ทันสมัย แต่ความเป็นจริงคือ เทคโนโลยีมีความสัมพันธ์กับการดำรงชีวิตของมนุษย์มาเป็นเวลานานตั้งแต่ยุคประวัติศาสตร์ เทคโนโลยีเป็นสิ่งที่มนุษย์นำความรู้จากธรรมชาติวิทยามาคิดค้นและดัดแปลงธรรมชาติเพื่อแก้ปัญหาพื้นฐานในการดำรงชีวิต ในระยะแรกเทคโนโลยีที่นำมาใช้เป็นระดับพื้นฐานอาทิ การเพาะปลูก การชลประทาน การก่อสร้าง การทำเครื่องมือเครื่องใช้ การทำเครื่องปั้นดินเผา การทอผ้า เป็นต้น ปัจจัยการเพิ่มจำนวนของประชากร ข้อจำกัดด้านทรัพยากรธรรมชาติ รวมทั้งการพัฒนาความสัมพันธ์กับต่างประเทศ เป็นปัจจัยสำคัญในการนำและการพัฒนาเทคโนโลยีมาใช้มากขึ้น
เทคโนโลยีกับวิทยาศาสตร์มีความสัมพันธ์กันมาก เทคโนโลยีเกิดจากพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ที่ถ่ายทอดมาจากประเทศตะวันตก ซึ่งศึกษาค้นคว้าทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์มาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ยุคปฏิวัติวิทยาศาสตร์ (คริสต์ศตวรรษที่ 16-17) ทำให้การพัฒนาเทคโนโลยีเจริญก้าวหน้าควบคู่ไปกับวิทยาศาสตร์ ความรู้ทางวิทยาศาสตร์เป็นความรู้ที่เกิดจากการสังเกตปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ คือการพยายามที่อธิบายว่าทำไมจึงเกิดอย่างนั้น เช่น นักฟิสิกส์ อธิบายว่า เมื่อขดลวดตัดสนามแม่เหล็กจะได้กระแสไฟฟ้า และน้ำเกิดจากไฮโดรเจนผสมกับออกซิเจน เป็นต้น ตั้งเป็นกฎเกณฑ์และทฤษฎีเพื่อถ่ายทอดและสอนให้ผู้อื่นได้ศึกษาและพัฒนา

เทคโนโลยีที่มีการพัฒนาตั้งแต่ยุคโบราณ
ส่วนในความหมายของเทคโนโลยีเป็นการประยุกต์ นำเอาความรู้ทางวิทยาศาสตร์มาใช้ และก่อให้เกิดประโยชน์ในทางปฏิบัติแก่มวลมนุษย์ กล่าวคือ เทคโนโลยีเป็นการนำเอาความรู้ทางวิทยาศาสตร์มาใช้ ในการประดิษฐ์สิ่งของต่าง ๆ ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ส่วนที่เป็นข้อแตกต่างอย่างหนึ่งของเทคโนโลยี กับวิทยาศาสตร์ คือเทคโนโลยีจะขึ้นอยู่กับปัจจัยทางเศรษฐกิจเป็นสินค้ามีการซื้อขาย ส่วนความรู้ทางวิทยาศาสตร์เป็นสมบัติส่วนรวมของชาวโลก มีการเผยแพร่โดยไม่มีการซื้อขายแต่อย่างใดกล่าวโดยสรุปคือ เทคโนโลยีสมัยใหม่เกิดขึ้นโดยมีความรู้ทางวิทยาศาสตร์เป็นฐานรองรับ บทบาทของเทคโนโลยีต่อการพัฒนาประเทศไทยได้เล็งเห็นความสำคัญของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาเป็นลำดับ เช่น การตราพระราชบัญญัติ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าในปี พศ 2514 และจัดตั้งกระทรวงวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและการพลังงานแห่งชาติขึ้นในปี พศ 2522 ให้ทำหน้าที่หลักในการเผยแพร่และพัฒนาผลงานทางวิทยาศาสตร์และ เทคโนโลยีให้เกิดประโยชน์สูงสุด ปัจจุบันเทคโนโลยีมีบทบาทต่อการพัฒนาอย่างมาก กล่าวโดยสรุปดังนี้
1. เทคโนโลยีกับการพัฒนาอุตสาหกรรม การนำเทคโนโลยีมาใช้ในการผลิต ทำให้ประสิทธิภาพในการผลิตเพิ่มขึ้น
ประหยัดแรงงาน ลดต้นทุนและ รักษาสภาพแวดล้อม เทคโนโลยีที่มีบทบาทในการพัฒนาอุตสาหกรรมในประเทศไทย เช่น คอมพิวเตอร์ และอิเล็กทรอนิกส์ การสื่อสาร เทคโนโลยีชีวภาพและพันธุกรรม วิศวกรรม เทคโนโลยีเลเซอร์ การสื่อสาร การแพทย์ เทคโนโลยีพลังงาน เทคโนโลยีวัสดุศาสตร์ เช่น พลาสติก แก้ว วัสดุก่อสร้าง โลหะ
2. เทคโนโลยีกับการพัฒนาด้านการเกษตร ใช้เทคโนโลยีในการเพิ่มผลผลิต ปรับปรุงพันธุ์ เป็นต้น เทคโนโลยีมี
บทบาทในการพัฒนาอย่างมาก แต่ทั้งนี้การนำเทคโนโลยีมาใช้ในการพัฒนาจะต้องศึกษาปัจจัยแวดล้อมหลายด้าน เช่น ทรัพยากรสิ่งแวดล้อม ความเสมอภาคในโอกาสและการแข่งขันทางเศรษฐกิจและสังคม เพื่อให้เกิดความ ผสมกลมกลืนต่อการพัฒนาประเทศชาติและส่วนอื่นๆอีกมาก
ในทางเศรษฐศาสตร์ มองเทคโนโลยีว่าเป็นความรู้ของมนุษย์ ณ ปัจจุบัน ในการนำเอาทรัพยากรมาผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ที่ต้องการ (รวมถึงความรู้ว่าเราสามารถผลิตอะไรได้บ้าง) ดังนั้น การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี จะเกิดขึ้นเมื่อความรู้ทางเทคนิคของเราเพิ่มขึ้น
วิทยาการและความล้ำหน้าทางเทคโนโลยี
ปัจจุบันเทคโนโลยีได้เป็นที่สนใจของคนทุกมุมโลกทุกสาขา เทคโนโลยีจึงเป็นที่แพร่หลายและนำมาใช้ในการทำงานและชีวิตประจำวัน การเรียนการศึกษาในสมัยนี้จึงมีหลักสูตรที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีเข้าไปด้วย เทคโนโลยีที่ล้ำหน้าที่สุดที่คนทั่วโลกให้ความสำคัญคือเทคโนโลยีสารสนเทศ เพราะปัจจุบันนี้อุปกรณ์หลายชนิดก็ต้องพึ่งพาเทคโนโลยีสารสนเทศ ไม่ว่าจะเป็น คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์ มือถือ อินเทอร์เน็ต PDA GPS ดาวเทียม และไม่นานมานี้มีการออกพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ เป็นการบ่งบอกว่าสังคมให้ความสำคัญแก่คอมพิวเตอร์

วิทยาศาสตร์
วิทยาศาสตร์ หมายถึง ความรู้เกี่ยวกับสิ่งต่างๆในธรรมชาติทั้งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิต รวมทั้งกระบวนการประมวลความรู้เชิงประจักษ์ ที่เรียกว่ากระบวนการทางวิทยาศาสตร์ และกลุ่มขององค์ความรู้ที่ได้จากกระบวนการดังกล่าว
การศึกษาในด้านวิทยาศาสตร์ยังถูกแบ่งย่อยออกเป็น วิทยาศาสตร์ธรรมชาติ และ วิทยาศาสตร์ประยุกต์คำว่า science ในภาษาอังกฤษ ซึ่งแปลว่า วิทยาศาสตร์นั้น มาจากภาษาลาติน คำว่า scientia ซึ่งหมายความว่า ความรู้ ในคริสต์ศตวรรษที่ 17 ฟรานซิส เบคอนได้พยายามคิดค้นวิธีมาตรฐานในการอุปนัย เพื่อนำมาใช้สร้างทฤษฎีหรือกฎต่างๆ ทางวิทยาศาสตร์จากข้อมูลที่ทดลองหรือสังเกตได้จากธรรมชาติ
โดยทั่วไปเราถือกันว่า วิทยาศาสตร์สมัยใหม่ เริ่มต้นในยุคฟื้นฟูศิลปะวิทยาการ โดยมี "บิดาแห่งวิทยาศาสตร์สมัยใหม่" คือ กาลิเลโอ กาลิเลอี เป็นผู้ถอนรื้อและปรับปรุงแนวความคิดเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์สมัยเก่า ที่ยึดกับแนวความคิดของอริสโตเติลทิ้งไป. ณ ขณะนั้น กาลิเลโอได้กำหนดลักษณะสำคัญของวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ไว้ดังนี้
• ทำนายสิ่งที่เกิดขึ้นในปรากฏการณ์ธรรมชาติได้ โดยที่ไม่จำเป็นต้องอธิบายสาเหตุได้ เช่น ในขณะที่ยังไม่มีความรู้เรื่องแรงโน้มถ่วงนั้น กาลิเลโอไม่สนใจที่จะอธิบายว่า "ทำไมวัตถุถึงตกลงสู่พื้นดิน ?" แต่สนใจคำถามที่ว่า "เมื่อมันตกแล้ว มันจะถึงพื้นภายในเวลาเท่าใด ?"
• ใช้คณิตศาสตร์เพื่อเป็นภาษาหลักของวิทยาศาสตร์ (ดูหัวข้อ คณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์)
ในเวลาต่อมา ไอแซก นิวตันได้ต่อเติมรากฐานและระบบระเบียบของแนวคิดเหล่านี้ และเป็นต้นแบบสำหรับสาขาด้านอื่นๆ ของวิทยาศาสตร์
ก่อนหน้านั้น, ในปี ค.ศ. 1619 เรอเน เดส์การตส์ ได้เริ่มเขียนความเรียงเรื่อง Rules for the Direction of the Mind (ซึ่งเขียนไม่เสร็จ). โดยความเรียงชิ้นนี้ถือเป็นความเรียงชิ้นแรกที่เสนอกระบวนการคิดเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์สมัยใหม่และปรัชญาสมัยใหม่. อย่างไรก็ตามเนื่องจากเดส์การตส์ได้ทราบเรื่องที่กาลิเลโอ ผู้มีความคิดคล้ายกับตนถูกเรียกสอบสวนโดย โป๊ปแห่งกรุงโรม ทำให้เดส์การตส์ไม่ได้ตีพิมพ์ผลงานชิ้นนี้ออกมาในเวลานั้น
การพยายามจะทำให้ระเบียบวิธีทางวิทยาศาสตร์เป็นระบบนั้น ต้องพบกับปัญหาของการอุปนัย ที่ชี้ให้เห็นว่าการคิดแบบอุปนัย (ซึ่งเริ่มต้นโดยฟรานซิส เบคอน) นั้น ไม่ถูกต้องตามหลักตรรกศาสตร์. เดวิด ฮูมได้อธิบายปัญหาดังกล่าวออกมาอย่างละเอียด คาร์ล พอพเพอร์ในความคิดลักษณะเดียวกับคนอื่นๆ ได้พยายามอธิบายว่าสมมติฐานที่จะใช้ได้นั้นจะต้องทำให้เป็นเท็จได้ (falsifiable) นั่นคือจะต้องอยู่ในฐานะที่ถูกปฏิเสธได้ ความยุ่งยากนี้ทำให้เกิดการปฏิเสธความเชื่อพื้นฐานที่ว่ามีระเบียบวิธี 'หนึ่งเดียว' ที่ใช้ได้กับวิทยาศาสตร์ทุกแขนง และจะทำให้สามารถแยกแยะวิทยาศาสตร์ ออกจากสาขาอื่นที่ไม่เป็นวิทยาศาสตร์ได้
ปัญหาเกี่ยวกระบวนการปฏิบัติของวิทยาศาสตร์มีความสำคัญเกินขอบเขตของวงการวิทยาศาสตร์ หรือวงการวิชาการ ในระบบยุติธรรมและในการถกเถียงปัญหาเกี่ยวกับนโยบายสาธารณะ การศึกษาที่ใช้วิธีการนอกเหนือจาก แนวปฏิบัติทางวิทยาศาสตร์ที่เป็นที่ยอมรับ จะถูกปฏิเสธ และถูกจัดว่าเป็น "วิทยาศาสตร์ขยะ" หรือศาสตร์ปลอม
นิยามศัพท์ทางวิทยาศาสตร์


โมเดลอะตอมของบอห์ร เป็นหนึ่งในโมเดลทางวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงมาก ได้ผ่านกระบวนการทางวิทยาศาสตร์เพื่อทดสอบความถูกต้องหลายต่อหลายครั้ง ดังจะเห็นได้จากการถูกเสนอขึ้นเป็นโมเดลที่แท้จริงของอะตอมเนื่องจากอธิบายปรากฏการณ์เส้นสเปกตรัมของไฮโดรเจนได้ และในเวลาต่อมาก็ถูกคัดค้านเนื่องจากอธิบายปรากฏการณ์อื่นๆ อีกหลายอย่างไม่ได้
คำว่า "โมเดล", "สมมติฐาน", "ทฤษฎี", และ"กฎทางกายภาพ" มีความหมายในทางวิทยาศาสตร์ไม่เหมือนกับที่ใช้กันทั่วไป นักวิทยาศาสตร์ใช้คำว่า โมเดล เพื่อหมายถึงคำอธิบายปรากฏการณ์บางอย่าง ที่สามารถนำไปใช้สร้างคำทำนายซึ่งตรวจสอบความถูกต้องได้ด้วยการทดลองหรือการสังเกต ในขณะที่ สมมติฐาน คือความเชื่อที่ยังไม่ได้รับการสนับสนุนที่มากพอ และยังไม่ถูกพิสูจน์ว่าผิดพลาดด้วยการทดลอง ส่วน กฎทางกายภาพ หรือ กฎธรรมชาติ นั้น คือคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์ที่มีนัยทั่วไป ที่วางรากฐานอยู่บนผลของการสังเกตเชิงประจักษ์
ผู้คนทั่วไปมักเข้าใจว่า ทฤษฎี นั้นหมายถึงแนวคิดที่ยังไม่มีบทพิสูจน์หรือข้อสนับสนุนที่ชัดเจน อย่างไรก็ตามนักวิทยาศาสตร์มักใช้คำว่าทฤษฎี เพื่อกล่าวถึงกลุ่มก้อนของแนวคิดที่ทำนายผลบางอย่าง การกล่าวว่า "ผลแอปเปิลหล่น" คือการระบุความจริง ในขณะที่ทฤษฎีแรงโน้มถ่วงของนิวตันคือกลุ่มของแนวคิดที่ทำให้นักวิทยาศาสตร์สามารถอธิบายได้ว่าทำไมผลแอปเปิลถึงหล่น และทำนายการหล่นของวัตถุอื่นๆ ได้
ทฤษฎีที่ผ่านการทดสอบอย่างละเอียดถี่ถ้วนเป็นเวลานาน พร้อมกับมีหลักฐานจำนวนมากรองรับ จะถูกพิจารณาว่า "พิสูจน์แล้ว" ในความหมายทางวิทยาศาสตร์ โมเดลที่ได้รับการยอมรับโดยทั่วไปเช่น ทฤษฎีอาทิตย์เป็นศูนย์กลางและทฤษฎีอะตอมนั้น มีหลักฐานที่มั่นคงจนยากจะเชื่อได้ว่าจะทฤษฎีจะผิดได้อย่างไร ส่วนทฤษฎีอื่นๆ เช่น ทฤษฎีสัมพัทธภาพ, คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า หรือทฤษฎีวิวัฒนาการนั้น ผ่านการทดสอบที่เคร่งครัดอย่างมากมายโดยไม่พบข้อขัดแย้ง แต่ก็ยังเป็นไปได้ที่สักวันหนึ่งทฤษฎีเหล่านี้อาจถูกล้มล้างลง ทฤษฎีใหม่ๆ เช่นทฤษฎีสตริงอาจจะเป็นแนวคิดที่น่าเชื่อถือ แต่ก็ยังคงต้องผ่านกระบวนการตรวจสอบที่หนักหน่วงเช่นเดียวกัน
นักวิทยาศาสตร์ไม่เคยกล่าวอ้างถึงความรู้สัมบูรณ์ ทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์แม้จะถูกพิสูจน์แล้ว แต่ก็ยังมีโอกาสที่จะถูกปฏิเสธได้ถ้าพบหลักฐานเพิ่มเติม แม้กระทั่งทฤษฎีพื้นฐานเอง วันหนึ่งก็อาจกลายเป็นทฤษฎีที่ไม่สมบูรณ์ได้ ถ้ามีผลการสังเกตใหม่ๆ นั้นขัดแย้งกับทฤษฎีเหล่านั้น
กลศาสตร์นิวตันที่ค้นพบโดยไอแซก นิวตันเป็นตัวอย่างที่โด่งดัง ของกฎที่ถูกพบในภายหลังว่าอาจไม่ผิดพลาด ในกรณีที่การเคลื่อนที่นั้นมีความเร็วเข้าใกล้ความเร็วแสง หรือวัตถุอยู่ใกล้กับสนามแรงโน้มถ่วงที่แรงมากๆ ในกรณีที่นอกเหนือจากนี้ กฎของนิวตันยังคงเป็นโมเดลที่เยี่ยมยอดของเคลื่อนที่และแรงโน้มถ่วง เนื่องจากทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปนั้นครอบคลุมปรากฏการณ์ทั้งหมดที่กฎของนิวตันสามารถใช้ได้ และยังสามารถใช้ในกรณีอื่นๆ ได้อีก ทฤษฎีนี้จึงถูกจัดว่าเป็นทฤษฎีที่มีความถูกต้องมากกว่า
• มีอีกความเชื่อว่าวิทยาศาสตร์พัฒนามาจากเวทมนตร์
ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของวิทยาศาสตร์ในประวัติศาสตร์มนุษย์ ได้สร้างประเด็นคำถามทางปรัชญาไว้มากมาย. โดยนักปรัชญาวิทยาศาสตร์ได้ตั้งคำถามทางปรัชญาที่สำคัญดังนี้
• สิ่งใดเป็นตัวแบ่งแยกความรู้ทางวิทยาศาสตร์กับความรู้ประเภทอื่นๆ เช่น โหราศาสตร์
• ความรู้ทางวิทยาศาสตร์เป็นความจริงหรือไม่
• ความรู้ทางวิทยาศาสตร์เชื่อถือได้แค่ไหน
• วิทยาศาสตร์มีประโยชน์จริงๆ หรือไม่
• ศีลธรรมของวิทยาศาสตร์ที่เหมาะสม คือรูปแบบใด
ประเด็นเหล่านี้ยังเป็นที่ถกเถียงในหมู่นักปรัชญาวิทยาศาสตร์อย่างมากในปัจจุบัน และไม่มีความเห็นใดที่ได้รับการยอมรับทั่วไปอีกเลยทีเดียว

แม่คลอดลูก1

http://www.youtube.com/watch?v=vV-IoRTUpLg

แม่คลอดลูก

http://www.youtube.com/watch?v=VxKb_XCWOE0

วันจันทร์ที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2554

นวัตกรรมใหม่ ไม้ผสมพลาสติก ช่วยปกป้องกันการกัดเซาะป่าชายเลน

นวัตกรรมใหม่ ไม้ผสมพลาสติก ช่วยปกป้องกันการกัดเซาะป่าชายเลน
ปัญหาหาน้ำทะเลกัดเซาะพื้นที่ชายฝั่งส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศ และการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเล เป็นปัญหาที่ภาครัฐพยายามคิดค้น แนวทางในการแก้ไขมาโดยตลอด ล่าสุด สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ กระทรวงวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี ร่วมกับบริษัทเอกชน ได้คิดค้นนวัตกรรมใหม่ ชื่อ “โครงการซี-ออส (C-Aoss) แนวป้องกันการกัดเซาะพื้นที่ป่าชายเลนจากไม้ประกอบพลาสติก” โดยนำเอาไม้ซี-ออส ที่ผลิตจากพลาสติกผสมกับขี้เลื่อย มีลักษณะเด่น คือ แข็งแรงทนทานสูง ไม่มีสารพิษ และไม่ก่อให้เกิดมลพิษทางน้ำ นำมาออกแบบด้านวิศวกรรมให้อยู่ในลักษณะของรูปแคปซูลที่ถอดประกอบได้ ใช้เป็นแนวกั้นคลื่นกระทบชายฝั่ง นอกจากนี้ ยังมีปะการังเทียมที่ผลิตจากธรรมชาติ ที่ช่วยดักตะกอนดิน และสารอินทรีย์ ให้ตกตะกอนทับถมกัน เป็นแหล่งหากินของสัตว์น้ำ เช่น หอย ปู ปลา เพิ่มโอกาสในการทำอาชีพให้ชาวประมง หรือการทำเกษตรกรรมตลอดแนวชายฝั่งได้อีกด้วย โดยในเบื้องต้นนี้ได้นำไปทดสอบเพื่อใช้งานจริงที่ป่าชายเลน ตำบลพันท้ายนรสิงห์ จังหวัดสมุทรสาคร และในอนาคต จะนำไปใช้ในพื้นที่กัดเซาะชายฝั่งทั่วประเทศต่อไป นับเป็นนวัตกรรมที่มีประโยชน์ทางด้านสังคม สามารถสร้างรายได้ให้ชาวประมง และหากมองในแง่ธุรกิจอาจเป็นการสร้างโอกาสในการส่งออกผลิตภัณฑ์แนวป้องกันแบบใหม่ ให้กับประเทศที่ประสบปัญหาได้อีกด้วย
ซึ่งจากเหตุการณ์นี้เป็นปัญหาสำหรับชาวประมง และชาวบ้านแถบชายฝั่งเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นการที่รัฐเข้ามาช่วยถือว่าเป็นนวัตกรรมที่สามารถช่วยบรรเทา และแก้ไขปัญหาได้ไม่มากก็น้อย และเป็นการสร้างอาชีพให้ชาวประมงมีรายเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นนวัตกรรมที่สามารถช่วยเหลือชาวบ้าน และรวมไปถึงสัตว์น้ำได้ ลดปัญหาการเกิดปะการังฟอกขาวได้



จากหนังสือ สารคดีชุด 30 ปี กระทรวงวิทย์คิดเพื่อคนไทย

แก้ปัญหาภัยแล้งซ้ำซาก ด้วย เขื่อน หรือ ฝาย

แก้ปัญหาภัยแล้งซ้ำซาก ด้วย เขื่อน หรือ ฝาย
น้ำเป็นทรัพยากรธรรมชาติที่มีประโยชน์มหาศาลต่อ ทุกๆ ชีวิต ประเทศเรามีศักยภาพของแหล่งน้ำอย่างเหลือเฟือ แต่เราก็ยังประสบกับภัยแล้งซ้ำซากอยู่ทุกปี!!! เพราะอะไรหรือ ?
ในอดีตที่เรายังมีประชากรน้อย อุตสาหกรรมยังไม่เติบโต เกษตรกรรมยังไม่ขยายตัว ทั้งการเพาะปลูกพืชในฤดูแล้งก็เป็นเพียงพืชไร่ในพื้นที่ป่าขนาดเล็กต้องการน้ำไม่มาก ในสภาพนั้นเราจึงมีน้ำใช้อย่างเพียงพอ ตลอดปี ยกคุณความดีให้กับความอุดมสมบรูณ์ของป่าเขา ต้นน้ำ ลำธาร และสรุปว่าปัญหาการขาดแคลนน้ำในปัจจุบันมีสาเหตุจากการ ตัดต้นไม้ ทำลายป่า ต้นน้ำลำธาร ถ้าจะให้มีน้ำใช้เพียงพอเหมือนในอดีต ก็จะต้องฟื้นฟูสภาพป่าเขา ต้นน้ำ ลำธาร ให้กลับคืนดีดังเดิม... นี่เป็นความจริงหรือ ?
การแก้ปัญหาภัยแล้งซ้ำซากด้วยวิธีนี้ก็ยังไม่ประสบผลสำเร็จ
ประการแรก การฟื้นฟูสภาพป่าเขา ต้นน้ำ ลำธาร ยังคงทำได้ล่าช้ากว่าการถูกทำลาย แม้รัฐบาลจะใช้ความพยายามมาอย่างยาวนาน แต่ต้องใช้ความพยายามต่อไป
ประการที่สอง ถ้าวันหนึ่งเราฟื้นฟูสภาพต้นน้ำ ลำธาร สำเร็จ แต่ปริมาณน้ำในฤดูแล้งก็ไม่เพียงพอหับความต้องการ แม้ปัจจุบันก็ยิ่งขาดแคลนมากขึ้น เนื่องมาจากจำนวนของประชากรที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกษตรกรรมในช่วงฤดูแล้ง เช่น การทำนาปรังที่ต้องใช้น้ำมาก... แล้วจะทำอย่างไร
อุปสรรคใหญ่ คือ การต่อต้านของกลุ่มอนุรักษ์ที่มีความรัก และหวงแหงทรัพย์สมบัติของชาติ โดยดำเนินการชี้นำราษฎรในพื้นที่โครงการให้เห็นว่าการก่อสร้างเขื่อนเป็นการทำลายทรัพยากรธรรมชาติที่จะนำภัยพิบัติมาให้
ปัจจุบันจึงเน้นไปที่กิจกรรมมวลชนสัมพันธ์
กิจกรรมแรก ควรดำเนินการเมื่อเริ่มต้นการศึกษาโครงการ เพื่อให้ประชนได้รับทาบลักษณะและแผนงานคร่าวๆ
กิจกรรมที่สอง ให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมในการเสนอความคิดเห็น เพื่อนำไปปรับปรุง ให้ตอบสนองความต้องการของประชาชนมากที่สุด
กิจกรรมสุดท้าย เมื่อได้กำหนดรูปแบบ และแผนงานโครงการชัดเจนแล้ว นำเสนอให้ประชาชนไดรับทราบ
เมื่อได้ข้อสรุปแล้วการแก้ไขปัญหาภัยแล้งซ้ำซากจำเป็นต้องกักเก็บน้ำส่วนเกินในฤดูแล้ง อาจจะเป็นสระน้ำ ฝาย หรือเขื่อนกักเก็บน้ำ
1. เป็นการก่อสร้างฝายกักเก็บน้ำบนลำน้ำ ปริมาตรกักเก็บเหนือฝายมีน้อย และยังมีตะกอนทรายตกทับถม ทำให้ปริมาตรลดลงอีก ฝายชนิดนี้มีประโยชน์น้อยมาก ถ้าไม่มีน้ำไหลเป็นปกติในลำน้ำระหว่างฤดูแล้ง เพราะจะแห้งขอดลง เแต่เดิมเราก่อสร้างฝายในลำน้ำที่มีต้นทุนไหลอยู่เพื่อผันน้ำเข้าสู่คลองส่งน้ำชลประทานที่มีปากคลองอยู่เหนือฝาย เรียกว่าฝายทดน้ำ คลองส่งน้ำสายหลักจะลัดเลาะไปตามเส้นชั้นความสูงมีคลองซอยเพื่อกระจายน้ำในพื้นที่เพาะปลูกอย่างทั่วถึง
2. เป็นการก่อสร้างเขื่อนกักเก็บน้ำนี้จะมีท่อส่งน้ำออกจากอ่างเก็บน้ำส่งน้ำเข้าคลองชลประทาน หรือมีฝายทดน้ำผันน้ำเข้าพื้นที่ชลประทานทางด้านท้ายน้ำก็ได้
เห็นได้ว่าการแก้ปัญหาภัยแล้งซ้ำซากที่ดีควรจะมีเขื่อนเก็บกักน้ำไว้เป็นน้ำต้นทุนไว้ใช้ในฤดูแล้ง มีฝายทดน้ำทางท้ายน้ำเพื่อกระจายน้ำให้กับพื้นที่ที่ต้องการ ตัวอย่างที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี เช่น เขื่อนภูมิพล ที่กักเก็บน้ำได้เป็นปริมาณที่มหาศาล เป็นแหล่งน้ำต้นทุน และมีเขื่อนเจ้าพระยา ที่ทำหน้าที่เป็นฝายทดน้ำส่งน้ำเข้าคลองหล่อเลี้ยงพื้นที่ได้เป็นอย่างดี
การแก้ปัญหาภัยแล้งซ้ำซากจะเลือกใช้เขื่อน หรือฝาย หรือใช้ทั้งสองอย่างก็ได้ แล้วแต่ความเหมาะสม



จากหนังสือ ก้าวสู่ทศวรรษที่ ๓ บทความวิชาการ เล่มที่ ๓ เทคโนโลยีและนวัตกรรม

HEAT ISLAND

HEAT ISLAND

บทความนี้มีจุดประสงค์ที่จะชี้ให้เห็นถึงสาเหตุของปัญหา แ ละแนวทางการแก้ไขเบื้องต้นจากประสบการณ์ต่างประเทศ

HEAT ISLAND
เป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่สามารถเกิดขึ้นได้ในเมืองที่มีความหนาแน่นสูง

HEAT ISLAND คืออะไร ?
คำว่า HEAT ISLAND หรือ “เกาะความร้อน” เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในเขตชุมชนเมืองที่พบว่าอุณหภูมิในเมืองจะสูงกว่าอุณหภูมิโดยรอบมากกว่า 10 องศาฟาเรนไฮด์ หรือประมาณ 5-6 องศาเซลเซียส ซึ่งรูปแบบของอุณหภูมิตามปรากฏการณ์ “เกาะความร้อน”
ในกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น เห็นความสำคัญของเรื่อง HEAT ISLAND เช่นเดียวกัน โดยจากผลการศึกษาของกระทรวงสิ่งแวดล้อม พบว่า พระราชวังอิมพีเรียล มีอุณหภูมิแตกต่างจากพื้นที่โดยรอบประมาณ 2 องศาเซลเซียส และในช่วงฤดูร้อนมีความแตกต่างได้มากถึง 4.3 องศาเซลเซียส

HEAT ISLAND เกิดขึ้นได้อย่างไร
1. การลดลงของพื้นที่สีเขียว ทำให้ร่มเงาหายไป และทำให้การระเหยของน้ำ และการคายน้ำของพืชสูงขึ้น ทำให้ความชื้นสูงขึ้น
2. สิ่งปลูกสร้างประเภทอาคารสูงๆ และถนนแคบๆ ทำให้การไหลเวียนของอากาศในเมืองมีประสิทธิภาพลดลง หรือการขวางทิศทางลมของอาคารขนาดใหญ่
3. อากาศเสีย และควันจากรถยนต์ และเครื่องปรับอากาศจะทำให้อากาศโดยรอบมีอุณหภูมิสูงขึ้น

ปรากฏการณ์ HEAT ISLAND จะเกิดเมื่อใด ?
HEAT ISLAND สามารถเกิดขึ้นได้ตลอดทั้งปี ระหว่างกลางวัน และกลางคืน ความแตกต่างของอุณหภูมิ มักแตกต่างกันมากในช่วงลมสงบ และช่วงเย็นที่ท้องฟ้าแจ่มใส และมีแสงแดด เนื่องจากในชนบทอุณหภูมิจะลดลงได้อย่างรวดเร็วกว่าชุมชน โดยในพื้นที่เมืองจะดูดซับความร้อนไว้ในถนน อาคาร และสิ่งปลูกสร้างต่างๆ และจะคายความร้อนได้ช้ากว่า

ประโยชน์ของ HEAT ISLAND
HEAT ISLAND มีประโยชน์ โดยเฉพาะประเทศเมืองหนาว คืออากาศในเมืองจะไม่หนาวจัด ทำให้สามารถช่วยให้ประหยัดพลังงานในการละลายน้ำแข็ง และหิมะบนท้องถนนได้
HEAT ISLAND กับภาวะเรือนกระจกมีความสัมพันธ์กันหรือไม่ ?
การเกิด HEAT ISLAND จะสามารถเสริมให้เกิดภาวะเรือนกระจกได้เช่นกัน เนื่องมาจากการใช้เครื่องปรับอากาศ จะส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ต่อการใช้พลังงาน และการเผาผลาญเชื้อเพลิงฟอสซิส ซึ่งจะทำให้อุณหภูมิของโลกค่อยๆ สูงขึ้น

ปรากฏการณ์โดยตรงของ HEAT ISLAND กับ EIA อาคารขนาดใหญ่
ที่ผ่านมาหลายฝ่ายพยายามที่จะผลักดันมาตรการการกำหนดพื้นที่สีเขียวภายในอาคาร และภายนอกอาคารให้มีสัดส่วนที่มากขึ้นเพื่อลดปัญหาการสะสมตัวของความร้อน ซึ่งสามารถลดปัญหาลงได้ หากโครงการมีพื้นที่สีเขียวภายในโครงการเอง
รวมถึงการกำหนดสีของอาคารให้ลดการสะสมของความร้อน หรือสามารถลดการสะท้อนความร้อนในเขตเมือง เป็นสิ่งจำเป็นที่บางครั้งผู้ประกอบการ หรืกบบริษัทที่ปรึกษาก็มักจะมองข้าม และไม่ให้ความสำคัญแต่เริ่มคิดโครงการ





จากหนังสือ ก้าวสู่ทศวรรษที่ 3 บทความวิชาการ เล่มที่ 1 สิ่งแวดล้อมและพลังงาน

วันอาทิตย์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

น้ำกรดที่แรงที่สุดในโลก


น้ำกรดอะไร ที่แรงที่สุดในโลก



รู้หรือเปล่า ว่ากรด คาร์โบเรน แรงกว่า กรดฟลูโอโรซัลฟูริก แอสิด ที่ครองแชมป์มาอย่างยาวนาน
เมื่อกล่าวถึงความเป็นกรดของสาร คนทั่วไปอาจคิดถึง ความสามารถในการกัดกร่อนของสารนั้น และอาจนึกภาพไปถึงการเอาน้ำกรดสาดหน้ากันให้เสียโฉม แต่แท้จริงแล้ว ในทางวิทยาศาสตร์นั้น มองความเป็นกรดของสารว่า สารนั้นจะมีความเป็นกรด (acid strength) มากหรือน้อยขึ้นกับว่า มีความสามารถในการเติมไฮโดรเจน ไอออนหรืออะตอมของไฮโดรเจนที่มีประจุให้แก่สารอื่นได้มากน้อยเพียงใด โดยถ้ามีความสามารถในการให้ไฮโดรเจนไอออนได้มาก ก็จะถือว่าเป็นกรดที่แรงมาก
กรดที่แรงมากๆ นี้ ภาษาวิทยาศาสตร์เรียกว่า “ซูเปอร์แอซิด” (superacid) เป็นกรดที่มีความสามารถในการให้ไฮโดรเจนแก่สารอื่นได้มาก คุณ คริสโตเฟอร์ รีด แห่งมหาวิทยาลัยแห่งแคลิฟอร์เนีย และเพื่อนร่วมงาน ได้สร้างกรดที่มีความแรงมากที่สุดในโลกขึ้น ชื่อ กรดคาร์โบเรน (carborane acid) โดยมีความแรงมากกว่ากรดซัลฟิวริกเข้มข้นถึงหนึ่งล้านเท่าตัวเป็นอย่างน้อย แต่แม้จะมีความเป็นกรดมากออกปานนั้น ความสามารถในการกัดกร่อนกลับน้อยมาก
โดยทั่วไป กรดที่มีความแรงจะควบคู่ไปกับความสามารถในการกัดกร่อนได้สูง เช่น กรดฟลูออโรซัลฟิวริก (fluorosulphuric acid) ซึ่งเป็นซูเปอร์ แอซิดที่ครองแชมป์แรงที่สุดก่อนหน้านี้ สามารถกัดกร่อนได้สูงมาก โดยสามารถกัดแก้วได้ทะลุเลยทีเดียว
แต่สำหรับซูเปอร์แอซิดตัวใหม่นี้ มีสูตรเคมีเป็น H(CHB11Cl11) ทำให้มีความพิเศษออกไป นั่นคือ แม้จะเป็นกรดที่แรงที่สุด (มีความสามารถในการให้ไฮโดรเจนได้ดีที่สุด) แต่เมื่อกรดตัวนี้ให้ไฮโดรเจนไอออนออกไปแล้ว จะเหลือส่วนที่เป็นประจุลบ (ซึ่งส่วนที่เป็นประจุลบจะทำหน้าที่ในการกัดกร่อน) โดยอยู่ในรูปของโบรอนอะตอม 11 ตัว จับอยู่กับอะตอมคาร์บอนหนึ่งตัว กลายเป็นโครงสร้างที่เรียกว่าไอโคซะฮีดรอน (icosahedron) โครงสร้างนี้กลายเป็นโครงสร้างทางเคมีที่มีความคงตัวหรือมีความเสถียรที่สุด เลยทีเดียว ดังนั้น จึงสามารถเก็บกรดนี้ไว้ได้ในภาชนะทั่วไป ไม่ทำให้เกิดการกัดกร่อนอย่างรุนแรง เหมือนกรดฟลูออโรซัลฟิวริก
“กรดคาร์โบเรนนี้ ให้ความเป็นกรดที่ปลอดภัย ปราศจากความโหดร้ายรุนแรง” คุณคริสโตเฟอร์ กล่าว และบอกถึงแรงผลักดันที่ทำให้ทีมวิจัยสร้างกรดตัวนี้ขึ้นมาว่า เป็นเพราะต้องการสร้างโมเลกุลใหม่ๆ ที่ยังไม่เคยมีใครทำมาก่อน
กระนั้น ซูเปอร์แอซิดตัวนี้ ก็มีประโยชน์นะครับ เช่น ใช้ในการสร้างความเป็นกรดให้แก่โมเลกุลของสารอินทรีย์ได้ อย่างไรก็ตาม สิ่งแรกที่ทีมวิจัยจะทำต่อไปก็คือ จะทดลองใช้กรดนี้ สร้างความเป็นกรดให้แก่ก๊าซเฉื่อย อย่างเช่นก๊าซซีนอน (เพราะเป็นที่รู้กันดีว่า ก๊าซเฉื่อยนั้นทำปฏิกิริยากับสารอื่นๆ ได้ยาก) ด้วยเหตุผลง่ายๆ เช่นกันครับ คุณคริสโตเฟอร์บอกว่า “เพราะยังไม่เคยมีใครทำมาก่อน

ชายที่มีรอยสักมากที่สุดในโลก





ชายที่มีรอยสักมากที่สุดในโลก


Lucky Diamond Rich ในปี 2003 หนังสือ Guinness World Record ได้บันทึกให้ เขาเป็น มนุษย์มี รอยสัก มากที่สุดในโลก โดยเขาใช้เวลารวมกว่า 1000 ชั่วโมงในการสัก เขาได้สักลายกับช่างสักลาย 136 คน ใน 45 เมือง และมากกว่า 17 ประเทศ โดยเขามีรอยสัก 100 % ของร่างกาย รวมทั้ง รอยสัก บริเวณ เปลื่อกตา ใบหู ง่ามนิ้ว เหงือก ไม่เว้นแม้แต่อวัยวะเพศ และรูทวาร โดยเริ่มต้นเขาได้สักรูปไม้คฆาเล็กๆ ไว้ที่สโพก และสักเพิ่มขึ้นเรื่อยจนทั่วร่างกาย

คนที่อายุยืนที่สุดในโลก นายลีชุนยุง ชาวจีน อายุ 256 ปี!!!


คนที่อายุยืนที่สุดในโลก นายลีชุนยุง ชาวจีน อายุ 256 ปี!!!




นายลีชุนยุง ชาวจีนผู้เกิดในปี ค.ศ. ๑๖๗๗ และตายในปี ๑๙๓๓ สิริรวมอายุได้ ๒๕๖ ปี! เขาเป็นผู้ลบล้างความเชื่อหลายต่อหลายประการ นับแต่ความเชื่อว่าคนเราควรมีอายุได้สูงสุดไม่เกิน ๑๒๐ ตลอดไปจนกระทั่งความเชื่อว่าคนแก่ต้องหลังโก่ง ผิวหนังเหี่ยวย่นเสมอ เพราะจนตายนายลีก็ยังสุขภาพแข็งแรง หลังตรง หนังตึง สายตาไม่ฝ้าฟาง เส้นผมกับฟันยังเป็นของแท้ตามธรรมชาติ ไม่มีใครเห็นเขามีสภาพเกินชายวัย ๕๐ เลยด้วยซ้ำ!
รัฐบาลจีนรับรู้ว่าลีชุงยุนมีตัวตนตอนเขาอายุ ๑๕๐ คือมีคนของทางการพบเห็นและให้คำรับรองได้ว่าเป็นผู้สูงอายุแล้ว แต่เขายังคงอยู่ต่อมาได้อีกกว่าศตวรรษ เพราะฉะนั้นอย่างน้อยที่สุดเขาจะต้องมีอายุเกินธรรมดาไปมากๆ เมื่อประกอบกับหลักฐานแสดงความมีตัวตนในช่วงศตวรรษที่ ๑๗ ก็พอทำให้เชื่อมั่นว่ากรณีของนายลีไม่ใช่การปั้นน้ำเป็นตัวขึ้นมาแน่ๆ
นาย ลีเน้นการประพฤติปฏิบัติตนไว้หลายอย่าง นับแต่การรู้จักมีอิริยาบถที่ถนอมสภาพความเยาว์วัยไว้นานๆ เช่นกล่าวเชิงอุปมาอุปไมยให้นั่งนิ่งเหมือนเต่าหมอบ เดินเหินปราดเปรียวกระฉับกระเฉงเหมือนนกพิราบ นอนหลับสนิทเหมือนสุนัข แล้วก็มีหัวใจที่สงบเงียบในการดำรงชีวิต
นอกจากนั้นนายลียังเป็น มังสวิรัติ แล้วก็เป็นคนรอบรู้ในเรื่องการใช้สมุนไพรอย่างหาตัวจับได้ยาก คือเชี่ยวชาญเกี่ยวกับยาอายุวัฒนะ ประเภทที่ทำให้ธาตุไฟภายในยังทำงานเผาผลาญ ช่วยกระตุ้นให้ระบบประสาทตื่นตัวได้ตลอด เขากินอาหารสมุนไพรทุกวันจนตาย นักวิทยาศาสตร์เอามาวิเคราะห์ดูก็พบว่าเป็นอาหารจำพวกกรดอะมิโนในธรรมชาติ ซึ่งร่างกายผลิตได้เองอยู่แล้ว แถมยังเจอดาษดื่นในอาหารที่เราๆกินกันนี่แหละ ความแตกต่างคือสารช่วยยืดอายุเหล่านั้นถูกทำลายไปในขณะปรุงอาหารเสียหมด คนทั่วไปเลยชะลอนาฬิกาชีวิตไม่ค่อยอยู่ ทั้งวิธีการดำรงชีวิตและการใช้ยาอายุวัฒนะ รวมกันทำให้ลีชุงยุนไม่รู้จักแก่ และเป็นการเลือกมีอายุยืนด้วยความจงใจ มิใช่ความบังเอิญ
การ มีตัวตนอยู่จริงของลีชุนยุงบอกเราว่าถ้าอยากอยู่นานจริงๆ อีกทั้งแข็งแรงปราศจากความร่วงโรยของสังขาร ก็ต้องมีวิธีดำรงชีวิตด้วยความแตกต่างจากการปล่อยปละเลยตามเลย ไม่ว่าจะเรื่องของการเดินเหิน ไม่ว่าจะเรื่องของหยูกยาอาหาร ล้วนแล้วแต่ประคองให้ร่างนี้อยู่ได้เกินสองร้อยปี หรืออย่างน้อยที่สุดก็ไม่ต่ำกว่า ๑๒๐ ปี ไม่ใช่แค่ ๔๐ ก็เตรียมจอดเหมือนอย่างหนุ่มสาวหลายต่อหลายคนในยุคปัจจุบัน ลอง จินตนาการดู หากเราเป็นคนใกล้ชิดของนายลีในช่วงที่เขาอายุสักร้อยเศษ เกิดมาก็เห็นนายลีมีอายุมากแล้ว แต่พอเราอายุมากขึ้นจนเกือบ ๖๐ รอมร่อ นายลีก็ไม่ตายสักที แถมดูดีกว่า แข็งแรงกว่า ทำอะไรได้มากกว่าเราเสียอีก เราคงไม่คิดอย่างไรอื่นนอกจากเห็นเขาเป็นมนุษย์อมตะ และเมื่อเราถึงเวลาปิดฉากชีวิตขณะอายุสัก ๗๐ ก็คงตายไปพร้อมกับความเชื่อว่าชีวิตอมตะมีจริง มนุษย์ที่ไม่รู้จักแก่ ไม่รู้จักตายมีจริง แถมแข็งแรงและธาตุยังดีขนาดมีเมียได้เรื่อยๆ ถึง ๒๔ คน
ทว่า เราอยู่ในยุคที่ลีชุนยุงล่วงลับไปแล้ว ก็ต้องมาถึงจุดสรุป ถึงจุดที่เห็นตามจริงว่า ชีวิตนั้น ต่อให้ชะลอยืดยาวออกไปเพียงใด ในที่สุดก็ต้องพบกับสัจจธรรมเหมือนกันหมด คือต้องมอดม้วยมรณังกันถ้วนหน้า มนุษย์อายุยืนที่สุดในโลกเช่นนายลีชุนยุงเหมือนเกิดมาเพื่อยืนยันแทน ธรรมชาติ ว่าสัจจะสูงสุดข้อแรกของการเป็นมนุษย์คือ ‘อย่างไรก็ต้องตายแน่ๆ’


อายุขัย ที่แตกต่างทำให้แต่ละคนมีเวลาสั่งสมกรรมผิดแผกจากกัน นอกจากนั้นยังมีโอกาสสั้นยาวไม่เท่ากันในอันที่จะเรียนรู้ความจริงเกี่ยวกับ ชีวิต สุดแต่ใครจะคิดว่าความจริงสูงสุดอยู่ที่ไหน ควรใช้เวลาในชีวิตเพียงใดเพื่อเข้าให้ถึงความจริงนั้น

10 อันดับสัตว์ที่อายุยืนที่สุดในโลก

10 อันดับสัตว์ที่อายุยืนที่สุดในโลก
อันดับ 10: กุ้งมังกร Lobster

อายุขัย: 140 ปี
กุ้ง มังกรเป็นสัตว์เศรษฐกิจอาหารทะเลส่งออกที่โดยทั่วโลก จัดเป็นอาหารมีราคาสูง ในบรรดากุ้งมังกรด้วยกันดูเหมือนว่า จอร์จ จะถูกพูดถึงมากที่สุด จอร์จถูกจับขึ้นมาจากชายฝั่งนิวฟาวแลนด์ในเดือนธันวาคม ปี 2008 และถูกนำไปขายยังภัตตาคารอาหารทะเลด้วยราคา 100 เหรียญ แต่ด้วยขนาดที่ใหญ่ยักษ์ของมัน ทางภัตตาคารจึงตัดสินใจไม่นำมันมาปรุงเป็นอาหาร แต่ปล่อยมันไว้ในตู้ให้ลูกค้าดูและถ่ายรูปเล่น ซึ่งสิบวันต่อมา ลูกค้าจำนวนหนึ่งได้แจ้งไปยังศูนย์คุ้มครองสัตว์เพื่อทำเรื่องขอให้ปล่อย จอร์จกลับทะเล ซึ่งในตอนแรกทางภัตตาคารไม่ยอม แต่ในที่สุดแล้วเจ้าของภัตตาคารก็ใจอ่อนยอมปล่อยมันไป ซึ่งมันถูกปล่อยในเขตคุ้มครองสัตว์น้ำเพื่อไม่ให้ใครจับมันได้อีก ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่าจอร์จน่าจะเกิดราวปี 1869 รวมอายุได้ 140 ปี
อันดับ 9:หอยกูอี้ดั๊ก Geoduck
อายุขัย: 160 ปี
ด้วย หน้าตาอันเฉพาะตัวของมัน คนไทยจึงนิยมเรียกมันว่า "หอยจู๋" แต่แท้จริงแล้วมันคือหอยกูอี้ดั๊ก อย่างไรก็ดี duck ตัวนี้ไม่ได้แปลว่า เป็ด แต่แปลว่า ขุด ซึ่งคำนี้มาจากภาษาพื้นเมืองอเมริกัน แปลว่า ขุดลึก ทั้งนี้เพราะตามธรรมชาติ หอยชนิดนี้มันจะอยู่ในทรายที่น้ำท่วม ถึงตามริมฝั่ง โดยฝังตัวลงไปในทราย ยิ่งโตก็ยิ่งขุดลึกลง และยืดงวงขึ้นมาบนผิว ด้วยอายุขัยถึง 160 ปี มันจึงเป็นสัตว์ที่มีอายุยืนยาวที่สุดในโลกชนิดหนึ่ง


อันดับ 8: หนอนท่อ Lamellibrachia
อายุขัย: 170 ปี
หนอน ท่อที่มีรูปทรงละม้ายคล้ายดอกไม้ปลอมนี้ อาศัยอยู่ในทะเลลึกและพึ่งพาแบคทีเรียสายพันธุ์หนึ่งในการผลิตอาหารดำรง ชีวิต แม้ดูว่ามันจะทำอะไรไม่ได้มากมาย แต่เจ้าหนอนท่อสายพันธุ์นี้มีความยาวได้ถึง 3 เมตร และมีอายุมากได้ถึง 170 ปี เลยทีเดียว


อันดับ 7: เต่าเรเดียต้า Radiated Tortoise
อายุขัย: 180 ปี
อย่าง ที่ทราบกันดีว่าเต่านั้นเป็นสัตว์ที่มีอายุยืน และในบรรดาเต่าด้วยกันนั้น เต่าเรเดียต้านั้นมีอายุยืนที่สุด เต่าเรเดียต้านั้นจัดเป็นเต่าบกที่มีสัสันและลวดลายสวยงามมาก มันมีถิ่นกำเนิดที่มาดากัสก้า อัฟริกา และด้วยสีสันอันสวยงามของมัน มนุษย์จึงนิยมนำมาเป็นสัตว์เลี้ยง เต่าเรเดียต้าที่มีชื่อเสียงที่สุดนั้นชื่อว่า ตูอิมาลิลา ซึ่งกัปตันคุกได้นำมันไปถวายกษัตริย์แห่งตองกาเมื่อราวปี ค.ศ.1777 ตูอิมาลิลามีชีวิตอยู่เรื่อยมาจนถึงปี ค.ศ.1965 ซึ่งหมายความว่ามันมีอายุไม่น้อยกว่า 188 ปี เลยทีเดียว
อันดับ 6: หอยเม่นแดง Red Sea Urchin
อายุขัย: 200 ปี
หอย เม่นแดงนี้พบได้ในมหาสมุทรแปซิฟิค อาศัยอยู่ตามโขดหินใต้ทะเลที่ความลึก 90 เมตร ไม่ค่อยมีศัตรูทางธรรมชาติเท่าใดนัก สภาวะทางธรรมชาติของมันเอื้อให้มันมีชีวิตยืนยาวเนื่องจากการเจริญเติบโต ต่างๆ ของมันแทบจะหยุดชงักลงเมื่อมันอายุได้ 10 ปี ซึ่งจากการศึกษาพบว่ามันสามารถอายุยืนได้ถึง 200 ปีเลยทีเดียว

อันดับ 5:วาฬ Bowhead Whale
อายุขัย: 210 ปี
วาฬ พันธุ์นี้ถือว่าเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่มีอายุยืนที่สุดในโลก นอกจากนี้แล้วมันยังได้ชื่อว่าเป็นสัตว์ที่มีปากกว้างที่สุดในโลกด้วย แม้ช่วงอายุจะยืนยาวถึง 210 ก็ตาม แต่มันมีประชากรเพียง 24,900 ตัวทั่วโลกเท่านั้น ทั้งนั้นทั้งนี้มาจากการล่าของมนุษย์นั่นเอง



อันดับ 4: ปลาคาร์ฟ Koi-โคอิ
อายุขัย:220 ปี
ปลา คาร์ฟสายพันธุ์นี้ถูกพัฒนาขึ้นจากปลาคาร์ฟญี่ปุ่น ตามความเชื่อแล้วปลาโคอินั้นเป็นสัญลักษณ์ของ ความรัก และ มิตรภาพ ซึ่งปลาโคอิที่มีชื่อเสียงสุดนี้ได้แก่ "ฮานาโกะ" ที่มีอายุยืนยาวถึง 226 ปี ฮานาโกะเกิดเมื่อปี 1751 และอยู่มาเรื่อยๆ จนถึงวันที่ 7 กรกฎาคม ปี 1977


อันดับ 3: หอยทะเล Arctica islandica
อายุขัย: 410 ปี
หอย ทะเลพันธุ์นี้ เราสามารถหาได้ไม่ยากในภัตตาคารอาหารญี่ปุ่น ด้วยความที่มันเป็นอาหารยอดนิยม หลายคนจึงไม่อยากจะเชื่อว่ามันจะมีอายุยืนยาวอะไรมากมาย แต่ผลการวิจัยสรุปออกมาว่ามันสามารถมีอายุยืนได้ถึง 410 ปีเลยทีเดียว


อันดับ 2: ฟองน้ำ Cinachyra Antarctica
อายุขัย: 1,550 ปี
ฟองน้ำ ทะเลสายพันธุ์นี้อาศัยอยู่ที่มหาสมุทรแอนตาร์คติกในความลึกหลายร้อยเมตร มันมีอัตราในการเติบโตที่ช้ามากๆ จากการตรวจวิจัยพบว่ามันมีอายุขัยได้ถึง 1,550 เลยทีเดียว



อันดับ 1: แมงกระพรุน Turritopsis nutricula
อายุขัย: อมตะ
Turritopsis nutricula เป็นแมงกระพรุนที่มีวงจรชีวิตแปลกประหลาดมาก คือ หลังจากที่ย่างเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์แล้ว มันก็จะเติบโตแบบถดถอยกลับสู่วัยเด็กอีกครั้ง ซึ่งหลังจากเป็นเด็กได้สมบูรณ์แล้วมันก็จะเติบโตใหม่และก็กลับเป็นเด็กใหม่ เป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ซึ่งสรุปได้ว่า ช่วงชีวิตของมันเป็น...อมตะ ทำลายสถิติ สัตว์ที่มีอายุยืนยาวที่สุดในโลก ทุกสถาบัน

10 อันดับ ต้นไม้ที่มหัศจรรย์ที่สุดในโลก

10 อันดับ ต้นไม้ที่มหัศจรรย์ที่สุดในโลก

อันดับ 10
ต้น Lone Cypress ขึ้นต้องแรงปะทะโดยลมหนาวจากมหาสมุทรแปซิฟิกอยู่ที่ชายหาด Pebble ในมอนทาเร่ รัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา แม้จะมีขนาดไม่ใหญ่โตมาก แต่มันตั้งเด่นเป็นสง่า (แบบว้าเหว่) อยู่ท่ามกลางทัศนียภาพที่สวยงามของมหาสมุทรแปซิฟิก





อันดับ 9
เกษตรกรปลูกถั่วคนหนึ่งได้ดัดแปลงและแกะสลักต้นไม้เป็นรูปร่างและลวดลายที่แสนมหัศจรรย์จริงๆ เขาได้ตั้งชื่อมันว่าต้น "Circus" นี่คือตัวอย่างเจ้าต้น Circus ที่คิดว่ากว่าจะทำได้คงลำบากน่าดู





อันดับ 8
ต้น Giant Sequoias ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในต้นไม้ที่ใหญ่ที่สุดในโลกปลูกใน เซียร์ร่า เนวาดา รัฐแคลิฟอร์เนีย ซึ่งต้น Giant Sequoias ที่ใหญ่ที่สุดคือพันธุ์ Genaeral Sherman ตั้งตระหง่านใหญ่ยักษ์อยู่ใน Sequoia National Park มีลำต้นสูงถึง 275 ฟุต (83.8 เมตร) และหนัก 6,000 ตัน





อันดับ 7
ต้น Coast Redwood ถือเป็นต้นไม้ที่สูงที่สุดในโลก โดยเจ้าต้นที่ชื่อว่า Hyperion ใน Redwood National Park นั้นมีความสูงกว่า 379 ฟุต (115 เมตร) จุดเด่นของมันก็คือต้น Coast Redwood จะประกอบไปด้วยต้นแคลิฟอร์เนียเรดวู้ดยักษ์ถึง 4 ต้น ซึ่งมันใหญ่ขนาดที่ว่าเราสามารถขับรถผ่านได้!






อันดับ 6
ต้น Chapel - Oak of Allouvill - Bellefosse เป็นต้นไม้ที่มีชื่อเสียงที่สุดในฝรั่งเศส มันไม่ใช่เพียงแค่ต้นไม้ธรรมดา แต่เป็นสถานที่สำคัญทางศาสนาอีกด้วย ในปัจจุบันบางส่วนของโอ๊คต้นนี้ได้ร่วงเลยไปบ้างแล้วตามกาลเวลา แต่ผู้คนที่นั่นใช้เสาและ สายเคเบิ้ลในการรองรับต้นไม้เก่าแก่ต้นนี้





อันดับ 5
ต้น Pando หรือ Trembling Giant ในรัฐยูท่าห์ ประกอบไปด้วยกว่า 47,000 กิ่งก้านสาขาที่แผ่ขยายไปทั่วพื้นที่ 107 เอเคอร์ หนักประมาณ 6,600 ตัน และมีระบบรากแก้วใต้ดินที่ใหญ่โตมาก เฉลี่ยแล้วแต่ละกิ่งก้านนั้นมีอายุประมาณ 130 ปี รวมทั้งระบบของต้น Pando เหล่านี้ศิริอายุร่วม 80,000 ปี


อันดับ 4
ต้น Tule เป็นต้นที่ใหญ่ที่สุดในต้นไม้ตระกูล Montezuma Cypress ตั้งอยู่ใกล้กับเมือง Oaxaca ประเทศเม็กซิโก มีขนาดลำต้นโดยรอบ 190 ฟุต (58 เมตร) ซึ่งมีความหนาจนผู้คนพูดว่า แทนที่คุณจะโอบกอดมัน...มันกลับโอบกอดคุณแทน



อันดับ 3
ต้น Banyan ตั้งชื่อตาม "banians" หรือผู้บุกรุกชาวฮินดูที่ทำกิจกรรมต่างๆ ภายใต้ต้นไม้นี้ และต้น Banyan เคยเป็นบ้านต้นไม้ของโรบินสัน ครูโซมาแล้วด้วย





อันดับ 2
ต้นสน Bristlecone ถือได้ว่าเป็นต้นไม้ที่เก่าแก่มาก ซึ่งพันธุ์ Methuselah นั้นจัดเป็นต้นไม้ที่เก่าแก่ที่สุดในโลก ที่มีอายุ 4,838 ปี อยู่เหนือระดับน้ำทะเลถึง 11,000 ฟุต





อันดับ 1
ต้นไม้ที่มหัศจรรย์ที่สุดก็คือต้น Baobab หรือต้นขนมปังลิง! (monkey bread tree) สามารถเติบโตได้ถึง 100 ฟุตและกว้าง 35 ฟุต สิ่งแปลกประหลาดของต้นไม้นี้ก็คือ ภายใต้ลำต้นที่บวมนี้คือ ที่เก็บน้ำที่จุได้มากถึง 120,000 ลิตร ไว้ใช้ในสภาวะอากาศแห้งแล้ง

วันพุธที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ฝากความยินดี Clash

ปฏิเสธไม่ได้ว่ารักเธอ Clash

ปฏิเสธไม่ได่ว่ารักเธอ

การเกิดปรากฎการณ์เรือนกระจก

ปรากฏการณ์เรือนกระจก เห็นว่าน่าสนใจดี ก็เลยยกมาให้ผู้อ่านเกิดประโยชน์คะ
การปล่อยก๊าซเรือนกระจก( GREENHOUSE EFFECT) เป็นสาเหตุของการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญคือก่อมลพิษทางอากาศ ทำลายชั้นบรรยากาศโอโซนซึ่งปกป้องผิวโลกก่อให้เกิดสภาวะโลกร้อนอันเนื่องมาจากอุณหภูมิเฉลี่ยของผิวโลกสูงขึ้นและการทำลายชั้นบรรยากาศโอโซนนี่เองที่มีการตรวจพบล่าสุดว่าเกิดรูโหว่ของชั้นบรรยากาศโอโซน ที่เรียกว่า"รูโอโซน" ขยายตัวเป็นวงกว้างถึง27.4 ล้านตารางกิโลเมตรเปรียบเทียบให้ดูง่ายๆคือคงจะใหญ่กว่าประเทศไทยถึง60เท่า
ปรากฏการณ์เรือนกระจก คือกระบวนการที่เกิดจากการแผ่รังสีอินฟราเรดโดยบรรยากาศแล้วทำให้พื้นผิวโลกร้อนขึ้นชื่อดังกล่าวมาจากการอุปมาที่คลาดเคลื่อนว่าเป็นการเปรียบเทียบอากาศที่อุ่นกว่าภายในเรือนกระจกกับอากาศที่เย็นกว่าภายนอก (ความจริงในอวกาศไม่มีอากาศ) โจเซฟ ฟูริเออร์เป็นผู้ค้นพบปรากฏการณ์เรือนกระจกเมื่อ พ.ศ. 2367และสวานเต อาร์เรเนียส (SvanteArrhenius) เป็นผู้ทดสอบหาปริมาณความร้อนเมื่อ พ.ศ. 2439
อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกซึ่งอยู่ที่ 14 °C จะเย็นเท่ากับ-19 °C หากโลกปราศจากปรากฏการณ์เรือนกระจก.ปรากฏการณ์โลกร้อน หรือการร้อนขึ้นของปรากฏการณ์โลกร้อนจากที่เป็นอยู่เดิมของบรรยากาศชั้นล่างของโลกเมื่อเร็วๆนี้ เชื่อกันว่าเป็นผลมาจากการเพิ่มปริมาณของก๊าซเรือนกระจกในบรรยากาศ นอกจากโลกแล้ว ดาวอังคาร และดาวศุกร์ ก็มีปรากฏการณ์โลกร้อนเช่นเดียวกัน


จาก Google

การเกิดปะการังฟอกขาว

วันนี้อาจารย์เคียง รักเกาะรุ้ง ให้นักศึกษาปริญาโท คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ให้ไปทำการค้นคว้าเรื่องปำการังฟอกขาวว่าเกิดขึ้นอยางไร มาดูที่หนูค้นคว้ามานะคะ

ปรากฏการณ์ แนวปะการังฟอกขาว สิ่งแวดล้อมโลก ที่แปรเปลี่ยน
.....ปรากฏการณ์แนวปะการังฟอกขาวคืออะไร และเกิดขึ้นได้อย่างไร?
.....หากอธิบายจากสิ่งที่ตาเห็น ปรากฏการณ์แนวปะการังฟอกขาว หรือ Coral Reef Bleaching ก็คือ ปรากฏการณ์ที่ปะการังชนิดต่างๆ รวมถึง สิ่งมีชีวิตในแนวปะการัง อีกหลายชนิด มีสีซีดลง และหาก การฟอกขาวนั้น เป็นไปโดยสมบูรณ์ อย่างที่เรียกกันว่า Completely bleaching เราก็จะพบว่า ปะการังเหล่านั้น เหลือเพียงเนื้อเยื่อใสๆ เผยให้เห็นสีขาว ของหินปูน ซึ่งเป็น โครงสร้างของมัน โดยทั่วไป ปะการัง และสิ่งมีชีวิตในแนวปะการัง ชนิดที่จะเกิด การฟอกขาวได้นั้น จะมีลักษณะ การดำรงชีวิต ที่ต่างไปจากสัตว์อื่นๆ กล่าวคือ มีความสัมพันธ์แบบ พึ่งพาอาศัยกับ ไดโนแฟลกเจลเลต (Dinoflagellate) หรือสาหร่ายเซลล์เดียวขนาดเล็ก ที่เรียกกันว่า "ซูแซนเทลลี"
.....ซูแซนเทลลี จะอาศัยอยู่ในเนื้อเยื่อชั้นในของปะการัง (และสัตว์จำพวกที่ว่า) โดยเป็นตัวที่ ช่วยสร้างสีสันให้แก่ร่าง หรือ Host ที่มันอาศัย นอกจากซูแซนเทลลี จะใช้รงควัตถุในตัวมัน สร้างสีสัน ที่ช่วยในการ ปกป้อง เนื้อเยื่อของสัตว์ ที่มันอาศัยอยู่ ไม่ให้ถูกแผดเผาโดย รังสี จากดวงอาทิตย์ และทำให้สัตว์เหล่านี้ ไม่จำเป็นต้องมีสีสันของมันเอง (หรือมีบ้างเล็กน้อย) แล้ว ซูแซนเทลลี ยังใช้รงควัตถุนี้ ในการ สังเคราะห์แสง สร้างอาหารให้แก่ตัวมัน และสัตว์ที่มันอาศัยร่วมอยู่ด้วย การที่มีซูแซนเทลลี อยู่คอยสร้างอาหารให้ จึงทำให้สัตว์เหล่านี้ โดยเฉพาะปะการัง ไม่ต้องหาอาหารเองมากนัก ทั้งยังได้ประโยชน์จาก ขบวนการสังเคราะห์แสง ที่สำคัญซูแซนเทลลี ยังช่วยให้ การสร้างหินปูน ในปะการัง หรือสัตว์ ที่สร้างเปลือกหินปูน เป็นไปได้รวดเร็วขึ้น ซึ่งเท่ากับ ช่วยให้แนวปะการัง เจริญเติบโต เร็วขึ้นด้วย
.....ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตจากสองอาณาจักร คืออาณาจักรพืช (สาหร่าย) และอาณาจักรสัตว์ (ปะการัง) ถือเป็นกุญแจสำคัญ ต่อพัฒนาการ และการเสื่อมสลาย ของแนวปะการัง ความสัมพันธ์ ที่ซับซ้อน ระหว่างสิ่งมีชีวิตทั้งสองนี้ ทำให้มันต้องปรับตัวอยู่เสมอ อย่างไรก็ตาม ปะการัง ก็ยังคง เป็นสิ่งมีชีวิต ที่เจริญเติบโตได้ ในสภาวะที่จำกัด การเปลี่ยนแปลง สภาวะแวดล้อม ที่เกินกว่าขอบเขต ที่ปะการัง (รวมทั้งสัตว์ ที่อาศัยซูแซนเทลลี) จะทนได้ จะทำให้ ความสมดุลระหว่าง สิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ร่วมกันนั้น ถูกทำลาย และเป็นผลให้ ซูแซนเทลลี ไม่อาจอาศัยอยู่ใน Host ได้อีกต่อไป การสูญเสียซูแซนเทลลี ไม่ว่าด้วยสาเหตุใด ก็เป็นผลให้ปะการัง และสัตว์ในกลุ่มนี้ ค่อยๆ ซีดขาว และตายลงได้ในที่สุด
.....โดยทั่วไป การฟอกขาวของปะการังและสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ในแนวปะการัง นั้น เกิดได้สองลักษณะคือ การสูญเสีย ซูแซนเทลลี จากเนื้อเยื่อของมัน และ/หรือ การที่ซูแซนเทลลี สูญเสีย รงควัตถุ ในตัวมันไป ซึ่งทั้งสองกรณีนี้ ก็เกิดได้จากหลายสาเหตุ นับตั้งแต่ อุณหภูมิน้ำทะเล ที่เพิ่มสูงขึ้น หรือลดต่ำลง, ความเข้มแสง ที่มากเกินไป, ผลร่วมของความเข้มแสง และอุณหภูมิน้ำทะเล ที่เพิ่มสูงขึ้น, ความเค็ม ลดต่ำ และการติดเชื้อ โดยเฉพาะจากแบคทีเรีย
.....เราพบว่า สาเหตุที่ก่อให้เกิด ปรากฏการณ์ แนวปะการัง ฟอกขาว เป็นวงกว้างทั่วโลก มักเกิดจากการที่ อุณหภูมิน้ำทะเล เพิ่มสูงขึ้น, ผลจากความเข้มแสง หรือสองปัจจัยนี้ร่วมกัน ในขณะที่ สาเหตุอื่นๆ มักทำให้เกิด การฟอกขาวของปะการัง เฉพาะพื้นที่เท่านั้น นักวิทยาศาสตร์ ได้สังเกตพบว่า โดยทั่วไป ปะการัง จะสามารถปรับตัว ให้เข้ากับ สิ่งแวดล้อมที่มันอาศัย โดยจะคงสภาพอยู่ได้ถึง ระดับ อุณหภูมิสูงสุด ตามภาวะปรกติ แต่ปะการังจะฟอกขาว หากอุณหภูมิ ขึ้นสูงกว่าระดับสูงสุด จากที่เคยเป็นเพียง ๑ เซลเซียสเท่านั้น สมมุติเช่น อุณหภูมิสูงสุดในอ่าวไทย ตามปรกติอยู่ที่ ๓๐ องศาเซลเซียส หากปีใด อุณหภูมิในอ่าวไทยสูงเกินกว่า ๓๑ องศาเซลเซียส โอกาสที่ ปะการัง จะฟอกขาว ก็ย่อมเกิดขึ้นได้
.....ปรากฏการณ์แนวปะการังฟอกขาวนี้ มิได้เพิ่งเกิดขึ้นเป็นครั้งแรก นักวิทยาศาสตร์ สังเกตเห็น ความผิดปรกติ จากปรากฏการณ์ แนวปะการัง ฟอกขาว มาตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๒๗ โดยพบว่า ปะการังเกิดการฟอกขาว อย่างกว้างขวาง ทั่วทั้งมหาสมุทรแปซิฟิก หลังจากนั้น ก็พบในมหาสมุทรอื่นๆ เป็นประจำ ในประเทศไทยเอง การเกิดปรากฏการณ์ แนวปะการังฟอกขาวในปี พ.ศ. ๒๕๔๑ นี้ ก็มิได้ เพิ่งเกิดขึ้นเป็นครั้งแรก แต่อาจนับเป็นครั้งแรก ที่เกิดการฟอกขาว ของปะการัง ขึ้นทั่วทั้งอ่าวไทย ทั้งนี้เชื่อกันว่า การเกิดปรากฏการณ์ แนวปะการังฟอกขาว ทั่วทั้งอ่าวไทยครั้ง นี้เป็นผลมาจาก ปรากฏการณ์ เอลนีโญ ที่เริ่มต้นมาตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๔๐ และส่งผลกระทบต่อ สภาพ ภูมิอากาศโลก รวมทั้งทำให้เกิด ปรากฏการณ์ แนวปะการัง ฟอกขาว ในน่านน้ำอื่นๆ เกือบทั่วโลกด้วย
.....ปรากฏการณ์ฟอกขาว ที่เกิดขึ้นกับ แนวปะการังครั้งนี้ อาจเป็น จุดเริ่มต้นของ การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ หรืออาจเป็นเพียง เหตุการณ์เล็กๆ ตามธรรมชาติก็ได้ ทั้งนี้เพราะ การเปลี่ยนแปลงของ แนวปะการัง มีขึ้นตลอดระยะเวลาวิวัฒนาการของแนวปะการัง ตั้งแต่เกือบ ๕๐๐ ล้านปีมาแล้ว กุญแจของความอยู่รอด ของแนวปะการัง ในแต่ละบริเวณ ที่สุดแล้ว ก็คงจะขึ้นอยู่กับ ปะการัง และซูแซนเทลลี ว่า จะมีการปรับตัวอย่างไร ภายใต้ปัจจัยอันแปรปรวน ของสภาพแวดล้อมโลก ที่ผ่านมา การเปลี่ยนแปลงสภาพ ภูมิอากาศ ครั้งใหญ่ ของโลก เกิดขึ้นมาแล้ว หลายต่อหลายครั้ง แม้ในยุค Quaternary ในช่วงแสนปีที่ผ่านมา อุณหภูมิของทั้งน้ำ และอากาศ สูงยิ่งกว่าในปัจจุบัน แต่แนวปะการัง ก็ยังคงดำรงอยู่ได้ อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ไม่มีในยุค Quaternary ก็คือ การคุกคามจากมนุษย์ และกิจกรรมของมนุษย์ และถึงวันนี้ เราเองก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่า เรามีส่วนร่วมอยู่ใน ขบวนวิวัฒนาการครั้งสำคัญนี้ ด้วยเช่นกัน ดังนั้นปรากฏการณ์ครั้งนี้ คงไม่เพียงทำให้เรา ได้เห็นสีที่แท้จริงของ ปะการัง และสัตว์ ในแนวปะการังเท่านั้น แต่น่าจะแสดงให้เห็นถึง สีที่แท้จริงของ Homo sapiens นี้ด้วย

จาก Google

นิเวศวิทยาของนก

นก

นกเป็นสัตว์ที่เราคุ้นเคยกันดี เสน่ห์อันชวนหลงใหลจากขนแสนสวย เสียงไพเราะ และปีกที่โบกบินอย่างอิสระ ทำให้นกเป็นเพื่อนที่น่ารัก และผูกพันกับมนุษย์มายาวนาน เราเปรียบนกเสมือนตัวแทนชีวิตเสรี เป็นสัญลักษณ์ของเสรีภาพ นกที่ปรากฏตัวในธรรมชาติ ช่วยเติมสีสัน และประดับโลกให้งดงาม ที่สำคัญคือ นกเป็นส่วนหนึ่งของระบบนิเวศ ที่เอื้อประโยชน์ต่อมนุษย์ และธรรมชาติอย่างมหาศาล
ลักษณะทั่วไปของนก
นกเป็นสัตว์เลือดอุ่นที่มีกระดูกสันหลัง มีตั้งแต่ขนาดเล็กเท่าแมลง ไปจนถึงสูงใหญ่หลายเมตร อีกทั้งยังมีพฤติกรรมแตกต่างกัน แต่ไม่ว่านกจะมีรูปร่าง และพฤติกรรมต่างกันเพียงใด ทุกชนิดก็มีโครงสร้างร่างกายเหมือนกัน
การจำแนกชนิดของนก
การจำแนกชนิดเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับการดูนก เพราะจะทำให้นักดูนกทราบว่านกที่เห็นเป็นนกชนิดใด มีพฤติกรรมอย่างไร การดูนกคงไม่สนุกแน่ หากไม่สามารถจำแนกชนิดนกที่พบได้ การจำแนกชนิดนกให้ถูกต้องแม่นยำต้องอาศัยประสบการณ์ ซึ่งเกิดจากความพยายามสังเกตลักษณะของนกแต่ละชนิด หมั่นเปิดศึกษาคู่มือ และจดบันทึกรายละเอียด จนกระทั่งสามารถจดจำและจำแนกนกแต่ละชนิด ได้ด้วยตนเองในที่สุด
การจำแนกตามลักษณะของขนาด และรูปร่าง
สังเกตนกที่พบว่ามีขนาดเท่าใด โดยเปรียบเทียบกับนกที่รู้จักดีอยู่ก่อนแล้ว เพื่อประมาณขนาดของนกที่พบอย่างคร่าวๆ เช่น นกกระจอกบ้าน
การจำแนกตามลักษณะของหาง
ลักษณะของหางช่วยจำแนกชนิดนกได้ เช่น มีหางสั้นหรือยาว เว้าเป็นแฉกหรือตัดตรง มีขนหางบางเส้นยื่นยาวออกมาหรือไม่ มีปีกกว้างหรือยาว ปลายปีกแหลมหรือกลม
การจำแนกตามลักษณะของปาก
ลักษณะปากสามารถบอกประเภทหรือวงศ์ของนกได้ เช่น นกกินปลาจะมีปากแหลมยาวตรง นกกินเมล็ดพืชมีปากสั้นแข็งแรง เหยี่ยวมีปากงุ้มแหลมไว้ฉีกเหยื่อ ขนาดและสีของปากยังใช้จำแนกชนิดได้ด้วย
การจำแนกตามลักษณะของสี และลวดลาย
สังเกตสีขนปกคลุมสำตัวและลวดลายที่เป็นลักษณะเด่น เช่น คิ้วหรือแถบเหนือตา แถบบนกระหม่อมหรือหน้าผาก วงแหวนรอบตา สีของปาก สีอ่อนหรือเข้ม บริเวณส่วนล่างลำตัวสังเกตสีของท้อง แถบหรือลายขีดบนอก สีของขา ด้านบนลำตัว สังเกต ขีด จุดหรือลาย มีแถบบนปีกหรือไม่ ซึ่งอาจจะเห็นได้เวลาบิน สีของปีกต่างจากหลังอย่างไร สีบริเวณตะโพก มีแถบหางหรือไม่ สีของปลายหาง
การจำแนกตามลักษณะของพฤติกรรม
นกแต่ละชนิดมีท่าทางการแสดงออกและพฤติกรรมแตกต่างกัน ซึ่งสามารถใช้ช่วยจำแนกชนิดนกได้ เริ่มจากสังเกตท่าเกาะพัก ว่านกเกาะในท่าตรงตั้งฉากหรือขยับตัวไปมา ชอบแกว่งหางหรือไม่ กระดกหางขึ้นลงอยู่เสมอหรือชอบแพนหาง สังเกตการไต่ต้นไม้ว่านกเกาะตัวตั้งตรงอย่างนกหัวขวานหรือไต่หัวลงอย่างนกไต่ไม้ บินขึ้นลงเป็นลอนคลื่นหรือบินตรงไป ชอบบินร่อนหรือโบกปีกกระพือไปมา เสียงร้องของนกก็ช่วยจำแนกชนิดนกได้ แม้ว่าจะไม่เห็นตัวนก สำหรับนกที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน แต่เสียงร้องต่างกัน การสังเกตเสียงร้องต่างกัน การสังเกตเสียงร้องจะช่วยจำแนกนกทั้งสองชนิดออกจากกันได้ง่ายขึ้น
พฤกติกรรมของนก
นอกเหนือจากการบินที่เป็นพฤติกรรมเด่น นกแต่ละชนิดจะมีการแสดงออกทางพฤติกรรมต่างกันไป โดยมีการพัฒนารูปร่างและอวัยวะให้เหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นการหาอาหาร ติดต่อสื่อสาร ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่เกิดจากการเรียนรู้ หรือพฤติกรรมทางสังคมอย่างการรวมฝูง นอกจากนี้นกบางชนิดสามารถแสดงพฤติกรรมพิเศษออกไป เช่น เลียนเสียงนกชนิดอื่นได้
การหาอาหาร
นกมีการพัฒนารูปร่าง ปีก ขา และปาก จนมีลักษณะเหมาะสม ช่วยให้หากินอาหารได้สะดวก ในแต่ละวัน นกต้องการอาหารจำนวนมาก เพราะนกจะย่อยอาหารอย่างรวดเร็ว เพื่อไม่ให้มีน้ำหนักตัวมากเกินไปขณะบิน ตามปกตินกหากินอาหารในช่วงเช้าและบ่าย หยุดพักในช่วงเวลากลางวัน นกที่กินเมล็ดพืชหรือแมลงอาจหาอาหารตลอดทั้งวัน ส่วนนกกินเนื้อสัตว์จะหาอาหารเมื่อหิว และนกขนาดใหญ่จะสามารถอดอาหารได้นานกว่านกเล็กๆ
นกบางชนิดก็หากินร่วมกันเป็นฝูง เช่น ฝูงนกนางนวลบินร่อนช่วยกันหาปลาตามชายทะเล ฝูงเป็ดน้ำหากินตามบึงน้ำ การหากินร่วมกันเป็นฝูงใหญ่ ช่วยให้นกหาอาหารง่ายขึ้นและได้ปริมาณมากกว่าหากินตามลำพัง รวมทั้งยังช่วยกันระวังภัยได้ดีกว่า
อาหารของนก
นกแต่ละชนิดกินอาหารต่างกัน มีทั้งน้ำหวานดอกไม้ เมล็ด ผลและส่วนอื่น ๆ ของพืช แมลง และสัตว์ นกส่วนใหญ่จะกินอาหารประเภทเดียว เช่น นกเขากินเมล็ดพืช เหยี่ยวกินเนื้อสัตว์ เป็นต้น แต่มีนกหลายชนิดที่กินอาหารได้หลายอย่าง เช่น อีกา นกเอี้ยง นกที่ปรับตัวให้กินอาหารได้หลายอย่าง สามารถหาอาหารได้งายช่วยให้มีโอกาสรอดชีวิตสูงกว่านกที่กินอาหารได้เพียงอย่างเดียว